สิว ถือว่าเป็นปัญหาผิวที่ไม่มีใครล้วนอยากพบเจอ โดยสิวเกิดจากอาการอักเสบของรูขุมขนและต่อมไขมัน ทำให้เกิดเป็นตุ่มสิวที่อักเสบขึ้นมาตามบริเวณใบหน้า ลำคอ ลำตัวส่วนบน และที่พบได้บ่อยมาก คือ สิวที่หลังนั่นเอง เพราะแผ่นหลังของคนเราล้วนเต็มไปด้วยต่อมไขมันขนาดใหญ่ หลายครั้งเราจึงมักเห็นสิวขึ้นมาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่อยู่ในช่วงอายุ 14 – 19 ปี เพราะช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่ต่อมไขมันผลิตออกมาเยอะที่สุด จนทำให้หลายคนต้องหาวิธีและเคล็ดลับรักษาสิวที่หลังที่ได้ผลที่สุด
สิวที่หลังเกิดจากสาเหตุใด
สิวโดยปกติแล้วสิวที่หลังจะเกิดขึ้นจากตุ่มไขมันที่รูขุมขนเกิดอาการอักเสบ แต่แท้ที่จริงแล้วยังมีสิ่งเร้าต่าง ๆ ซึ่งเข้ามาสร้างความระคายเคืองให้กับร่างกาย จนส่งผลให้จำนวนสิวที่หลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุจากหลายอย่าง ฉะนั้นก่อนทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีรักษาสิวที่หลังจึงควรทราบสาเหตุที่แท้จริงดังต่อไปนี้
1.ฮอร์โมน
ฮอร์โมนถือว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวทุกที่บนร่างกาย เมื่อร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนต่าง ๆ ส่งผลให้ระบบการทำงานของต่อมไขมันไม่เป็นปกติ อาจจะสั่งให้ขับไขมันเยอะหรือน้อยจนเกินไป เมื่อไขมันมาสะสมจำนวนมากจึงทำเกิดเป็นสิวนั่นเอง
2.เสื้อผ้าที่สวมใส่ระบายอากาศไม่ดีพอ
หลังมักจะอยู่ในส่วนของร่มผ้าเสมอ ฉะนั้นสิ่งที่มักทำให้เกิดสิวได้ง่ายที่สุด คือ เสื้อผ้าที่เรานำมาสวมใส่นั่นเอง โดยเฉพาะท่านที่ชอบสวมเสื้อผ้าเนื้อแข็ง มักทำให้แผ่นหลังของคุณมีความอับชื้น ระบายอากาศไม่ดีพอ และเสียดสีกับแผ่นหลังตลอดเวลา ถือว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรูขุมขนบริเวณแผ่นหลังอุดตันได้ และแม้แต่การสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นจนเกินไปก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดสิวที่หลังได้เช่นเดียวกัน
3.สารเคมี
ในชีวิตประจำวันของเรามักมีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับสารเคมีอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เช่น ครีมกันแดด ครีมโลชั่น หรือน้ำมันสำหรับนวดผิว เป็นต้น สำหรับผลิตภัณฑ์อาบน้ำอย่างสบู่ แชมพู หรือครีมนวดที่ใช้อยู่ประจำ รวมไปถึงผงซักฟอกที่แต่ละท่านใช้ทำความสะอาดเสื้อผ้า ทั้งหมดนี้อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่แผ่นหลังหรือทำให้เกิดไขมันอุดตันได้
4.เตียงนอน
ห้องนอนอันเป็นสถานที่ในการพักผ่อนของคุณ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องมานั่งรักษาสิวที่หลังในภายหลังได้ หากผ้าปูที่นอนหรือปลอกหมอนไม่ได้ทำความสะอาดอย่างเพียง อาจทำให้มีฝั่งละอองหรือแบคทีเรียเข้ามาทำให้ผิวหนังเกิดสิวได้ง่ายอย่างมาก
5.อาหารไขมันสูง
จากงานวิจัยของหลายสถาบันทำให้พบว่าอาหารที่เรารับประกันอยู่ทุกวันนั้น มีส่วนทำให้สิวเกิดขึ้นทั้งบนหลัง ใบหน้า หรือส่วนอื่นได้จริง โดยเฉพาะอาหารที่ส่วนประกอบไขมันและมีน้ำตาลสูง ส่งผลให้รูขุมขนเกิดไขมันอุดตันได้ง่ายขึ้น
เคล็ดลับรักษาสิวที่หลังให้หาย
มาถึงช่วงเวลาอันสำคัญที่หลายท่านต้องการทราบเป็นอย่างมาก นั่นคือวิธีการรักษาสิวที่หลังนั่นเอง ซึ่งหากลองศึกษาดูแล้วจะพบว่าไม่ได้มีขั้นตอนหรือวิธีการอันยุ่งยากแต่อย่างใด บทความนี้เราจึงได้นำเอาเคล็ดลับการรักษาสิวบริเวณหลังรับประกันผลลัพธ์อย่างแน่นอน
1.รักษาความสะอาด
สิวที่หลังอาจจะแตกต่างกันสิวบนใบหน้าหรือส่วนอื่นอยู่เล็กน้อย เพราะมักเกิดจากสิ่งสกปรกหรือการระคายเคืองของผิวหนังเป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นผู้ที่ต้องการรักษาอาการดังกล่าวควรหมั่นทำความสะอาดร่างกายของตนเองอยู่เสมอ หากพบว่าตนเองมีเหงื่อเยอะควรรีบอาบน้ำโดยทันที ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าหนา รวมไปถึงการดูแลความสะอาดห้องหรือที่อยู่อาศัยให้ดีด้วย
2.ใช้ยาทาสิวที่หลัง
สำหรับท่านที่มีอาการสิวอักเสบเป็นจำนวนมาก สามารถเลือกใช้ยาเพื่อลดอาการดังกล่าวได้ ยกตัวอย่างเช่น Benzoyl peroxide 2.5%-5% ชนิดทา, Topical retinoids 0.01%-0.1%, Erythromycin 2%-4% แบบเจล หรือจะเลือกทานยาปฏิชีวนะประเภท Tetracycline, Erythromycin หรือ Doxycycline ร่วมด้วยได้เช่นเดียวกัน แต่ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับยาอย่างถูกต้องตามอาการของแต่ละคนจะดีที่สุด
3.สครับผิว
การรักษาสิวที่หลังวิธีนี้เป็นวิธียอดฮิตที่เหล่าสาว ๆ ชอบใช้กัน เพราะสามารถรักษาสิวที่หลังได้จริงและยังป้องกันไม่ให้สิวกลับมากวนใจอีกด้วย อันดับแรกให้จัดเตรียมส่วนผสมให้พร้อม ได้แก่ มะขามเปียก 1 กำมือ, ขมิ้นชันผง 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำเปล่า จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมเข้าด้วยกันบนภาชนะที่สะอาด นำมาใช้ทาที่หลังจากอาบน้ำเสร็จ ถูวนเป็นลักษณะวงกลมอย่างเบามือให้ทั่วแผ่นหลังบริเวณที่มีสิวขึ้น ใช้เวลาประมาณ 3 – 5 นาทีให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด สามารถใช้สูตรสครับผิวนี้ได้สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง แต่แนะนำว่าหลังจากทำเสร็จแล้วไม่ควรออกกลางแดดโดยทันทีเพราะอาจจะทำให้ผิวคล้ำเสียได้ ภายในมะขามเปียกและขมิ้นมีกรด AHA ที่ช่วยลดอาการอักเสบ แถมยังช่วยทำให้ผิวกระจ่างใสไร้รอยสิวอีกด้วย
เมื่อรู้สึกสาเหตุและเคล็ดลับวิธีรักษาสิวที่หลังอย่างถูกต้องแล้ว เชื่อว่าอาการของสิวจะค่อย ๆ ลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้อาจจะแตกต่างกันออกไปตามสาเหตุของผู้ป่วย แต่แนะนำว่าควรปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้สิวกลับมากวนใจเราได้อีกในอนาคตนั่นเอง